คู่มือการจัดทำวิทยานิพนธ์รูปแบบใหม่ ระดับบัณฑิตศึกษา ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2568
ส่วนประกอบ
การจัดทำดุษฎีนิพนธ์/วิทยานิพนธ์ รูปแบบใหม่ เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา โดยมีองค์ประกอบหลัก 3 ส่วน ได้แก่
- ส่วนนำ
- ส่วนเนื้อหา
- ส่วนท้าย
โดยทั้ง 3 ส่วน นักศึกษาจะต้องจัดรูปแบบการพิมพ์ให้เป็นไปตามที่มหาวิทยาลัยกำหนดในคู่มือการทำวิทยานิพนธ์รูปแบบใหม่ระดับบัณฑิตศึกษาฉบับนี้อย่างถูกต้อง
ส่วนนำ
ส่วนนำมีองค์ประกอบดังต่อไปนี้
ระบุรายละเอียดตามรูปแบบที่มหาวิทยาลัยกำหนด
หน้าอนุมัติสำหรับอาจารย์ที่ปรึกษาหลัก อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม (ถ้ามี) และคณบดี ลงนามรับรองเป็นหลักฐานว่า ได้รับการตรวจสอบและเห็นชอบให้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร (รายนามคณะกรรมการสอบ มีตำแหน่งทางวิชาการนำหน้า และมีคุณวุฒิการศึกษา โดยให้ระบุคุณวุฒิสูงสุด ตามข้อมูลจากระบบ GRAD MIS)
กิตติกรรมประกาศต้องใช้ภาษาเขียน ไม่ใช้ภาษาพูด โดยเป็นส่วนที่ผู้แต่งแสดงความขอบคุณบุคคล หรือหน่วยงานที่ให้การสนับสนุน ช่วยเหลือ หรือให้ความร่วมมือในการศึกษาวิจัย การกล่าวถึงบุคคลต้องเขียน ชื่อ-สกุล โดยมีคำนำหน้าและหากมีตำแหน่งทางวิชาการ หรือ ยศ ฐานันดรศักดิ์ ต้องไม่ใช้ตัวย่อ และควรมีความยาวไม่เกินหนึ่งหน้ากระดาษ
บทคัดย่อเป็นข้อความที่สรุปเนื้อหาทั้งหมด มีสาระสำคัญสามประการ คือ (1) วัตถุประสงค์ และขอบเขตของการวิจัย (2) วิธีดำเนินการวิจัย (รวมถึงลักษณะของประชากร หรือการสุ่มตัวอย่างประชากร และเครื่องมือที่ใช้) (3) ผลการวิจัย โดยให้มีบทคัดย่อทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
สารบัญเป็นบัญชีรายการที่ช่วยให้ผู้สนใจค้นหาบท หรือหัวข้อสำคัญในแต่ละบท (ใช้หัวข้อสำคัญระดับแรก เช่น 1.1, 2.1) รวมถึงตาราง ภาพ อักษรย่อและสัญลักษณ์ (ถ้ามี) ได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น โดยเรียงตามลำดับเลขหน้าตั้งแต่บทที่ 1 จนถึงประวัติผู้ประพันธ์
ส่วนเนื้อหา
ส่วนเนื้อหาจะต้องจัดทำโดยมีข้อมูลตามประกาศมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เรื่อง การจัดทำวิทยานิพนธ์รูปแบบใหม่
ประกอบไปด้วย
1. ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาวิจัย
ชี้แจงถึงที่มาของเรื่องและเหตุผลที่ศึกษาเรื่องนั้น แสดงให้เห็นว่าปัญหาหรือหัวข้อวิจัยนั้นมีความสำคัญมีคุณค่าควรแก่การศึกษาค้นคว้าหาคำตอบ อาจกล่าวถึงปรากฏการณ์ที่เป็นปัญหาที่ต้องแก้ไขทางความรู้ โดยยกทฤษฎีและผลการวิจัยที่เกี่ยวข้องมาอ้างอิง สนับสนุน
2. วัตถุประสงค์ของการวิจัย
ชี้แจงถึงความมุ่งหมายของการวิจัยว่าต้องการศึกษาอะไร โดยเขียนให้สอดคล้องกับความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาวิจัย หากมีวัตถุประสงค์มากกว่าหนึ่งประการให้เขียนแยกเป็นข้อ ๆ เรียงลำดับตามความสำคัญ
3. ความสำคัญของการวิจัย
อธิบายถึงคุณค่าและประโยชน์ที่จะได้จากการวิจัย โดยทั่วไปแบ่งเป็นสองด้าน คือ (1) ความสำคัญในด้านที่จะได้ความรู้เพิ่มขึ้นจากการวิจัย ว่าจะเกิดหลักการ หรือทฤษฎีใหม่อะไรบ้าง และ (2) ความสำคัญในด้านที่จะนำความรู้ที่ค้นพบจากการวิจัยไปประยุกต์ใช้ว่าจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนโยบาย หรือเปลี่ยนแปลงการปฏิบัติงานอะไรบ้าง
4. สมมติฐานของการวิจัย
แสดงการคาดคะเนคำตอบหรือผลลัพธ์ของการวิจัยไว้ล่วงหน้าเพื่อใช้ในการทดสอบ สมมติฐานของการวิจัยต้องสัมพันธ์กับวัตถุประสงค์ของการวิจัย และสัมพันธ์กับข้อความที่ได้จากการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับการวิจัยประเภทสำรวจอาจไม่แสดงสมมติฐานก็ได้
5. ขอบเขตของการวิจัย
แสดงถึงข้อจำกัดของการวิจัยในด้านต่าง ๆ เช่น ประชากรกลุ่มตัวอย่าง พื้นที่ที่เก็บข้อมูล ระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษา และรายละเอียดอื่น ๆ ทั้งนี้เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการอ้างอิงผลการวิจัย
6. ข้อตกลงเบื้องต้น
แสดงถึงแนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับการวิจัยที่ผู้เขียนทำความเข้าใจกับผู้อ่านให้เป็นที่ยอมรับร่วมกัน เพื่อที่จะใช้เป็นเงื่อนไขสำหรับดำเนินการวิจัย หรือเป็นข้อความที่ผู้เขียนขอตกลงกับผู้อ่านเพื่อให้ยอมรับร่วมกันก่อนที่จะสรุปผลการวิจัย เช่น แบบสอบถามเชื่อถือได้ ผู้ตอบแบบสอบถามตอบตามความเป็นจริง การสุ่มตัวอย่างกระทำอย่างไม่ลำเอียง เป็นต้น
7. ข้อจำกัดของการวิจัย
ชี้แจงถึงข้อจำกัดของความรู้ที่ค้นพบจากการวิจัยหรือปัจจัยที่ทำให้ผลการวิจัยไม่สมบูรณ์ เช่น กลุ่มตัวอย่างมีจำนวนน้อย เวลาที่ศึกษามีจำกัด เป็นต้น
8. นิยามศัพท์เฉพาะ
อธิบายความหมายของคำศัพท์ที่เป็นคำหลักในการวิจัย โดยให้ความหมายเฉพาะในบริบทของการวิจัยนั้น ๆ เพื่อให้ผู้อ่านมีความเข้าใจในความหมายของศัพท์นั้น ๆ ตรงกัน
นำเสนอ แนวคิด ทฤษฎี หรือสาระอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยสรุปจากเอกสารและงานวิจัยต่าง ๆ ในหัวข้อเดียวกัน หรือมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันกับเรื่องที่วิจัยทั้งในด้านเนื้อหา และวิธีดำเนินการวิจัยไม่ควรใช้วิธีคัดลอก หรือสรุปความจากเอกสารต่าง ๆ มาเรียงต่อกันไว้ตามลำดับเวลา ต้องเขียนให้ผสมผสานกลมกลืน และต่อเนื่องกันโดยแยกเป็นประเด็นสำคัญ
1. สรุป
เป็นการสรุปสาระสำคัญของงานวิจัยทั้งหมด ตั้งแต่วัตถุประสงค์สมมติฐาน วิธีการวิจัยและผลการวิจัย ต้องเป็นไปอย่างรวบรัด แต่ได้ใจความสมบูรณ์ ตรงประเด็นตามข้อค้นพบ โดยอยู่ในกรอบของเรื่องที่ศึกษา ไม่นำเอาข้อสรุปของงานวิจัยอื่นมารวมไว้ นอกจากนี้ต้องไม่แสดงความคิดเห็นหรืออคติใด ๆ และไม่จำเป็นต้องกล่าวอ้างอิง หรือยกข้อความอื่น ๆ มาสนับสนุน
2. อภิปรายผล
เป็นการขยายองค์ความรู้ที่ได้จากการสรุปผลให้กว้างขวางและชัดเจนขึ้น เป็นการวิจารณ์ในเชิงเหตุผลถึงงานวิจัยที่ทำไปแล้วว่าเหตุใดผลการวิจัยจึงปรากฏเช่นนั้น ทั้งนี้โดยยึดวัตถุประสงค์และสมมติฐานของการวิจัยเป็นแนวทาง นอกจากนี้ผู้เขียนต้องเปรียบเทียบผลการวิจัยของตนกับผลการวิจัยอื่นที่มีผู้ทำไว้แล้วด้วย โดยต้องระบุให้ชัดเจนว่าผลการวิจัยของตนสนับสนุนหรือมีข้อขัดแย้งกับผลงานวิจัยอื่นหรือไม่อย่างไร รวมทั้งชี้ให้เห็นด้วยว่าการวิจัยนี้มีผลที่แสดงถึงความก้าวหน้าทางวิชาการ หรือผลที่จะไปลบล้างหรือเปลี่ยนแปลงแนวคิดในเรื่องที่ได้มีการศึกษากันมาแล้วหรือไม่
3. ข้อเสนอแนะ
คือส่วนที่ผู้เขียนให้ข้อเสนอแนะในประเด็นหรือแง่มุมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยและข้อค้นพบจากการวิจัย
ส่วนท้าย
เป็นส่วนที่เพิ่มเติมรายละเอียดต่าง ๆ จากส่วนเนื้อหา เช่น ชื่อบุคคลที่ให้ข้อมูล แบบสอบถามหรือแบบสัมภาษณ์ที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นต้น เพื่อช่วยเสริมความเข้าใจในเนื้อหาสาระ หรือทำให้เนื้อหาสมบูรณ์ขึ้น หากนำเสนอเป็นตารางหรือภาพ ให้จัดรูปแบบเหมือนเนื้อหา (วิทยานิพนธ์รูปแบบใหม่จะต้องใส่หน้าแรกของบทความที่ได้รับการตีพิมพ์ในภาคผนวก ก และถ้ามีเอกสารรับรองจริยธรรมในมนุษย์ต้องนำมาใส่ในภาคผนวกด้วย)
การพิมพ์ดุษฎีนิพนธ์/วิทยานิพนธ์/การค้นคว้าอิสระ
ข้อกำหนดการพิมพ์ทั่วไป
- เล่มภาษาไทยใช้ตัวอักษรไทยสารบรรณ นิว (TH Sarabun New) ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ดูการติดตั้งฟอนต์และดาวน์โหลดฟอนต์ได้ที่ https://shorturl.asia/ud7YJ
- เล่มภาษาอังกฤษใช้ตัวอักษร Time New Roman ทั้งเล่ม (รายละเอียดการพิมพ์ดูได้จากคู่มือฉบับภาษาอังกฤษ)
- เล่มภาษาไทยใช้ตัวเลขอารบิก แบบอักษรไทยสารบรรณ นิว (TH Sarabun New)
ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษทั้งเล่ม - เล่มภาษาอังกฤษใช้ตัวเลขอารบิก แบบอักษร Time New Roman ทั้งเล่ม(รายละเอียดการพิมพ์ดูได้จากคู่มือฉบับภาษาอังกฤษ)
เล่มภาษาไทย: เว้นระยะบรรทัดปกติ (Single) ตลอดทั้งเล่ม
เล่มภาษาอังกฤษ: เว้นระยะบรรทัด 1.5 (1.5 line) ตลอดทั้งเล่ม
ด้านบนและด้านซ้าย เว้นจากขอบกระดาษ 1.5 นิ้ว
ด้านขวาและด้านล่าง เว้นจากขอบกระดาษ 1 นิ้ว
- จัดกรอบข้อความแบบกระจายไทย
- เว้นช่องว่างระหว่างประโยค, ตัวอักษร, ตัวเลขและสัญลักษณ์เพียงหนึ่งตัวอักษร
- จัดข้อความไม่ให้เกิดช่องว่างระหว่างคำมากเกินไป
เว้นระยะไปจากแนวคั่นหน้าประมาณ 0.5 นิ้ว กรณีมีย่อเนื้อหาย่อยต่อ ๆ ไป ให้ย่อหน้าเข้าไปอีกครั้งละ 0.25 นิ้ว
- กรณีพิมพ์คำสุดท้ายไม่จบในบรรทัดนั้น ๆ ให้ยกคำทั้งคำไปพิมพ์ในบรรทัดต่อไป ไม่แยกส่วนท้ายของคำไปพิมพ์ในบรรทัดใหม่
- ควรจัดให้คำเดียวกันอยู่บรรทัดเดียวกัน เช่น ชื่อผู้แต่ง ชื่อสารเคมี ชื่อประเทศ ฯลฯ
กรณีที่ขึ้นย่อหน้าใหม่ แต่มีพื้นที่ส่วนท้ายของหน้ากระดาษเหลือมามาก ให้ขึ้นย่อหน้าใหม่ในหน้าถัดไป หรือจัดตามความเหมาะสมของแต่ละหัวข้อ
การพิมพ์เลขหน้า และการลำดับหน้า
ไม่ต้องระบุเลขหน้า
นับหน้าที่ 1 ตั้งแต่หน้าแรกของบทที่ 1 ถึงหน้าสุดท้ายของประวัติผู้ประพันธ์ โดยพิมพ์เลขกำกับหน้าไว้ที่ด้านบนขวาของกระดาษห่างจากขอบกระดาษด้านบน และด้านขวา 1 นิ้ว
พิมพ์เลขหน้ากำกับทุกหน้าต่อจากส่วนเนื้อหา
พิมพ์ไว้ที่ด้านล่างขวาของกระดาษห่างจากขอบกระดาษขวาและขอบกระดาษด้านล่าง ประมาณ 1 นิ้ว โดยให้เลขหน้าอยู่แนวเดียวกับหน้าแนวตั้ง
การแบ่งบท หัวข้อในบท และเนื้อหาแต่ละหัวข้อ (รูปแบบภาษาไทย)
จำนวนบท ให้อยู่ในดุลยพินิจของอาจารย์ที่ปรึกษา
เมื่อเริ่มบทใหม่จะต้องขึ้นหน้าใหม่เสมอ พิมพ์คำว่า “บทที่” และมีเลขประจำบท โดยพิมพ์ไว้ตรงกลางหน้ากระดาษ ใช้อักษรขนาด 18 point ตัวหนา
เว้นระยะพิมพ์ห่างจากคำว่า “บทที่” 2 บรรทัด พิมพ์ไว้ตรงกลางหน้ากระดาษ ใช้อักษรขนาด 18 point ตัวหนา หากชื่อบทยาวเกิน 1 บรรทัด ให้แบ่งเป็นสองหรือสามบรรทัดตามความเหมาะสม โดยพิมพ์เรียงลงมาในลักษณะสามเหลี่ยมหัวกลับ แต่ทั้งนี้ให้เน้นที่การแบ่งคำเป็นสำคัญ
หัวข้อใหญ่ คือ หัวข้อสำคัญระดับแรก (เช่น 1.1, 2.1) ใช้อักษรขนาด 18 point ตัวหนา
- การพิมพ์ ให้พิมพ์เลขลำดับหัวข้อชิดแนวกั้นหน้า เว้นระยะระหว่าง เลขหัวข้อและชื่อหัวข้อประมาณ 2 ตัวอักษร
- ชื่อหัวข้อใหญ่ หากมีความยาวเกินหนึ่งบรรทัด ให้ข้อความในบรรทัดที่สอง
เป็นต้นไปให้อยู่ในแนวเดียวกับอักษรตัวแรกของชื่อในบรรทัดบน - การเว้นระยะ ให้เว้นระยะจากบรรทัดบน 2 บรรทัด เมื่อจบข้อความของหัวข้อใหญ่ เว้น 2 บรรทัด เพื่อพิมพ์เนื้อหาหรือหัวข้อรอง
- การพิมพ์เนื้อหา พิมพ์เนื้อหาหรือหัวข้อรอง โดยย่อหน้าจากแนวกั้นหน้า 0.5 นิ้ว บรรทัดต่อไปพิมพ์ชิดแนวกั้นหน้า
หัวข้อรอง คือ หัวข้อสำคัญระดับที่สอง (เช่น 1.1.1, 2.1.1) ใช้อักษรขนาด 16
- การพิมพ์ ให้พิมพ์เลขลำดับหัวข้อโดยย่อหน้าจากแนวกั้นหน้า 0.5 นิ้ว เว้นระยะระหว่างเลขหัวข้อและชื่อหัวข้อประมาณ 2 ตัวอักษร
- ชื่อหัวข้อรอง หากมีความยาวเกินหนึ่งบรรทัด ให้ข้อความในบรรทัดที่สองเป็นต้นไปให้อยู่ชิดแนวกั้นหน้า
- การเว้นระยะ ย่อหน้าแรกของเนื้อหาให้จัดอยู่แนวเดียวกับเลขลำดับหัวข้อ โดยไม่เว้นระยะบรรทัด เนื้อหาบรรทัดต่อไปพิมพ์ชิดแนวกั้นหน้า
หัวข้อย่อย และหัวข้อย่อยต่อ ๆ ไป หรือการลำดับเนื้อหาเป็นข้อ ๆ ใช้ตัวอักษรขนาด 16 point ธรรมดา
- การพิมพ์ พิมพ์เลขลำดับหัวข้อ และตัวอักษรกำกับตามที่มหาวิทยาลัยกำหนด เว้นระยะระหว่างเลขหัวข้อและชื่อหัวข้อประมาณ 2 ตัวอักษร
- ชื่อหัวข้อ หากมีความยาวเกินหนึ่งบรรทัด ให้ข้อความในบรรทัดที่สองเป็นต้นไปให้อยู่ชิดแนวกั้นหน้า
- การเว้นระยะ ย่อหน้าแรกของเนื้อหา ให้จัดอยู่แนวเดียวกับเลขลำดับหัวข้อ โดยไม่เว้นระยะบรรทัด เนื้อหาบรรทัดต่อไปพิมพ์ชิดแนวกั้นหน้า
การพิมพ์ศัพท์เฉพาะ
การพิมพ์ชื่อวิทยาศาสตร์ของจุลชีพ พืช สัตว์ ให้ใช้ตามประมวลนามศาสตร์สากล (International Code of Nomenclature)
Ex.
Borassus flabelifer
Artocarpus heterophyllus Lam.
Amomum krervanh Pierre
Eugenia caryophyllum Bullock & Harrison
ใช้หลักเกณฑ์ของราชบัณฑิตยสถาน https://www.orst.go.th/royin/?m=i
- จังหวัด ภาษาอังกฤษใช้ Province
- อำเภอ ภาษาอังกฤษใช้ District
- ตำบล ภาษาอังกฤษใช้ Sub-district
- เขต ภาษาอังกฤษใช้ Area
- แขวง ภาษาอังกฤษใช้ Sub-area
เขียนเป็นภาษาไทยตามหลักเกณฑ์การเขียนในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน โดยไม่ต้องแสดงภาษาอังกฤษประกอบ เช่น ออกซิเจน องศาเซลเซียส วัคซีน เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ ฟังก์ชัน เฟซบุ๊ก เว็บไซต์ อีเมล เป็นต้น
https://www.orst.go.th/royin/?m=i
คำภาษาอังกฤษที่ยังไม่มีการใช้กันอย่างแพร่หลาย หรือคำย่อต่าง ๆ ให้เขียนคำแปลหรือเขียนคำอ่านทับศัพท์เป็นภาษาไทยกำกับไว้ภายในวงเล็บ โดยให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน
ให้เขียนคำไทยที่มีการวงเล็บคำอังกฤษไว้ครั้งแรกเพียงครั้งเดียวครั้งต่อไปให้ใช้เฉพาะคำไทย
ใช้การเขียนหลักการเดียวกันทั้งเล่ม ดังนี้
- เลือกใช้หลักการเขียนแบบใดแบบหนึ่งทั้งเล่ม เช่น กระบวนการชำระเงิน (payment processes) หรือ กระบวนการชำระเงิน (Payment processes) หรือ กระบวนการชำระเงิน (Payment Processes)
- กรณีเป็นอักษรย่อ หรือคำเฉพาะให้พิมพ์ตามหลักของคำนั้น ๆ
ตาราง/ภาพ
Example Table
ตารางต้องมีความชัดเจน ไม่เป็นภาพตาราง และจัดรูปแบบตารางตามที่กำหนด
2. เลขกำกับตาราง
พิมพ์คำว่า ตารางที่ และตามด้วยเลขกำกับตาราง (ตัวอักษรแบบหนา) โดยใช้เลขบทตามด้วยเลขลำดับ เช่น ตารางที่ 2.1, ตารางที่ 4.5 เป็นต้น จัดข้อความชิดซ้าย
3. ชื่อตาราง
พิมพ์ด้วยตัวอักษรธรรมดา ต่อจากเลขกำกับตาราง โดยเว้น 2 ระยะตัวอักษร หากชื่อตารางยาวเกินหนึ่งบรรทัด ให้พิมพ์ต่อในบรรทัดถัดไป โดยให้ชื่อตารางในบรรทัดที่ 2 ตรงกับชื่อในบรรทัดแรก
4. การเว้นระยะ
กรณีที่จบตาราง ให้เว้น 24 pt หรือ 2 บรรทัด ระหว่างข้อความต่อไป
5. เส้นตาราง
1) เส้นตารางมีความกว้างเท่าการกำหนดขอบเขตของหน้ากระดาษ
2) ถ้าตารางมีขนาดใหญ่ สามารถลดขนาดตัวอักษรและตัวเลขในตารางให้มีขนาดเท่ากัน แต่ต้องคงความชัดเจน และเข้าใจง่าย
3) ให้มีเส้นเฉพาะแนวนอน โดยเส้นขอบบนสุดและท้ายสุดที่ปิดตารางให้ใช้เส้นคู่ เส้นระหว่างส่วนหัวตารางและข้อความในตาราง ให้ใช้เส้นเดียว
4) กรณีตารางมีความยาวมากกว่าหนึ่งหน้า เส้นสุดท้ายให้ใช้เส้นเดียว และให้ใช้เส้นคู่ปิดตารางในหน้าสุดท้ายเท่านั้น
6. ข้อความและตัวเลขในตาราง
1) หัวตาราง ใช้ตัวอักษรแบบหนา จัดกึ่งกลางช่อง
2) ข้อความในตารางควรคำนึงถึงความสมดุลของแต่ละช่อง
3) ตัวเลขในตาราง จัดตัวเลขหลักหน่วยให้ตรงกัน ถ้าเป็นเลขทศนิยมก็ควรใช้ตัวเลขที่มีจำนวนหลักของทศนิยมเท่ากันและจัดจุดทศนิยมให้ตรงกัน
4) ตาราง (ต่อ) กรณีที่ตารางมีความยาวมากไม่สามารถจัดให้อยู่ในหน้าเดียวได้ ให้พิมพ์ส่วนที่เหลือในหน้าถัดไป โดยระบุเลขกำกับตารางพร้อมคำ ต่อ อยู่ในวงเล็บกลม ไม่ต้องระบุชื่อตาราง เช่น ตารางที่ 2.1 (ต่อ) แต่ต้องมีหัวของตารางเหมือนกับในหน้าแรก
5) ตารางแนวขวาง ตารางที่มีความกว้างเกินแนวตั้งของหน้า ให้จัดแบบแนวขวาง โดยตั้งค่ากระดาษแบบแนวขวาง
6) หมายเหตุของตาราง (ถ้ามี) ให้พิมพ์หมายเหตุติดกับเส้นล่างของตาราง โดยพิมพ์ หมายเหตุ (ตัวอักษรแบบหนา) ข้อความในส่วนหมายเหตุให้พิมพ์ในบรรทัดใหม่ ชิดแนวคั่นหน้า และหากข้อความไม่จบในบรรทัดเดียว ให้พิมพ์ต่อในบรรทัดที่สองให้ตรงกับคำในบรรทัดแรก
7) ที่มาของตาราง (ถ้ามี) หากคัดลอกตารางมาจากแหล่งอื่น ให้พิมพ์คำว่า ที่มา (ตัวอักษรแบบหนา) ไว้ชิดแนวคั่นหน้า เว้นสองระยะตัวอักษร แล้วให้อ้างอิงตามแบบที่กำหนด และให้เขียนรายละเอียดทางบรรณานุกรมของแหล่งที่มาของตารางนั้นในรายการอ้างอิงท้ายเล่มด้วย
8) หมายเหตุ และที่มาของตาราง (ต่อ) ให้พิมพ์หน้าสุดท้ายของท้ายตารางที่จบ
9) การอธิบายตาราง ข้อความที่อธิบายตารางให้ระบุเลขกำกับตาราง เช่น จากตารางที่ 4.5 . . . ไม่ให้เขียนว่าตารางข้างต้น หรือ ตารางต่อไปนี้ หรือ ตารางในหน้า เป็นต้น
Example
1. ภาพ
หมายรวมถึง ภาพ แผนภูมิ แผนที่ แผนผัง กราฟ และโครงสร้างทางเคมี ที่มีความชัดเจน
จัดไว้กลางหน้ากระดาษ และไม่เกินกรอบขอบเขตของกระดาษ
2. เลขกำกับภาพ
พิมพ์คำว่า “ภาพที่” ตามด้วยเลขกำกับภาพ (ตัวอักษรแบบหนา) โดยใช้เลขบทตามด้วยเลขลำดับ เช่น ภาพที่ 2.1, ภาพที่ 4.5 เป็นต้น กรณีชื่อตารางมีความยาว 1 บรรทัดให้จัดข้อความกึ่งกลาง กรณีชื่อตารางมีความยาวตั้งแต่ 2 บรรทัดขึ้นไปให้จัดข้อความชิดซ้าย
3. ชื่อภาพ
พิมพ์ด้วยตัวอักษรธรรมดา ต่อจากเลขกำกับภาพ โดยเว้น 2 ระยะตัวอักษร หากชื่อภาพยาวเกินหนึ่งบรรทัด ให้พิมพ์ต่อในบรรทัดถัดไป โดยให้ชื่อภาพในบรรทัดที่ 2 ตรงกับชื่อภาพในบรรทัดแรก
4. การเว้นระยะ
เว้น 2 บรรทัดหรือ 24 pt ท้ายชื่อภาพ ก่อนขึ้นย่อหน้าข้อความต่อไป
5. ภาพที่ (ต่อ)
กรณีที่ไม่สามารถจัดภาพให้อยู่ในหน้าเดียวกันได้ ให้นำภาพที่เหลือจัดอยู่ในหน้าถัดไป โดยระบุเลขกำกับภาพพร้อมคำว่า “ต่อ” อยู่ในวงเล็บกลม (ตัวอักษรแบบธรรมดา) และไม่ต้องระบุชื่อภาพ เช่น ภาพที่ 2.1 (ต่อ)
6. ภาพแนวขวาง
ภาพที่มีความกว้างเกินแนวตั้งของหน้า ให้จัดแบบแนวขวาง โดยตั้งค่ากระดาษแบบแนวขวาง
7. หมายเหตุของภาพ (ถ้ามี)
ให้พิมพ์หมายเหตุติดกับภาพ โดยพิมพ์คำว่า “หมายเหตุ” (ตัวอักษรแบบหนา) ชิดแนวคั่นหน้า และเว้นสองระยะตัวอักษร และพิมพ์ข้อความต่อ หากข้อความไม่จบในบรรทัดเดียว ให้พิมพ์ต่อในบรรทัดที่สองโดยให้ข้อความตรงกับคำในบรรทัดแรก
8. ที่มาของภาพ (ถ้ามี)
หากคัดลอกภาพมาจากแหล่งอื่นให้พิมพ์ที่มาติดกับหมายเหตุของภาพ โดยพิมพ์คำว่า “ที่มา” (ตัวอักษรแบบหนา) ไว้ชิดแนวกั้นหน้า เว้นสองระยะตัวอักษร แล้วให้อ้างอิงแบบนามปี คือ ระบุชื่อ และ ปีที่พิมพ์ ให้เขียนรายละเอียดทางบรรณานุกรมของแหล่งที่มาของภาพนั้นในรายการอ้างอิงท้ายเล่มด้วย
9. หมายเหตุ และที่มาของภาพ (ต่อ)
ให้พิมพ์หน้าสุดท้ายของภาพสุดท้าย
10. การอธิบายภาพ
ให้ยึดหลักเดียวกับตาราง เช่น จากภาพที่ 4.5 . . . ไม่ให้เขียนว่าภาพข้างต้น หรือ ภาพต่อไปนี้ หรือ ภาพในหน้า เป็นต้น
การอ้างอิง
การอ้างอิงในเนื้อหา
การอ้างอิงในเนื้อหา (In-text Citation) คือ การระบุแหล่งที่มาของข้อมูลที่ผู้แต่งนำมาประกอบในงานเขียน ทำให้ทราบว่าข้อมูลนั้น ๆ มาจากแหล่งใด โดยใส่รายละเอียดทางบรรณานุกรมของแหล่งข้อมูลในรายการอ้างอิง
การอ้างอิงในเนื้อหา (In-text Citation) และรายการอ้างอิง (References) ต้องสัมพันธ์กัน กล่าวคือ แหล่งข้อมูลที่มีการอ้างอิงในเนื้อหา ต้องปรากฏในรายการอ้างอิง และแหล่งข้อมูลแต่ละรายการในรายการอ้างอิงต้องมีการอ้างอิงถึงในส่วนเนื้อหา
มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กำหนดรูปแบบวิธีการเขียนแหล่งอ้างอิงในเนื้อหา 4 รูปแบบ คือ (1) American Psychological Association (APA) (2) Vancouver (3) Chicago
(4) Turabian โดยนักศึกษาสามารถเลือกใช้แบบใดแบบหนึ่งได้ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
การอ้างอิงโดยระบุชื่อผู้แต่ง และปีที่พิมพ์เอกสาร ไว้ในเนื้อหาที่ต้องการอ้าง เพื่อบอกแหล่งที่มาของข้อความ ในกรณีที่อ้างอิงเนื้อหาโดยตรงหรือแนวคิดบางส่วน หรือคัดลอกข้อความบางส่วนมาจากต้นฉบับควรระบุเลขหน้าไว้ด้วย โดยมีวิธีการอ้างอิงในเนื้อหา ดังนี้
- ระบุชื่อ นามสกุลผู้แต่ง และปีพิมพ์ไว้ในวงเล็บท้ายข้อความ ระหว่างชื่อผู้แต่งและปีพิมพ์ มีเครื่องหมายจุลภาคคั่น เช่น
ประวัติศาสตร์การสถาปนาแนวความคิดสิทธิมนุษยชนบนโลกนี้ คือ การประกาศว่าสิทธิมนุษยชน คือ พื้นฐานอันชอบธรรมขั้นสูงสุดสำหรับชุมชนมนุษย์ หรือคือ หลักการสากลที่มนุษย์พึงเคารพ เพราะสิทธิในความเป็นมนุษย์ย่อมเป็นสิทธิทางธรรมขั้นสูงสุดในการดำรงอยู่ สิทธิเป็นจุดเชื่อมระหว่างบุคคลกับส่วนรวม เพื่อการพัฒนาชีวิตทั้งส่วนบุคคลและส่วนรวม (เฉลิมเกียรติ ผิวนวล, 2530)
- ระบุชื่อ นามสกุลผู้แต่งไว้เป็นส่วนหนึ่งของเนื้อความ โดยเขียนปีที่พิมพ์ไว้ในวงเล็บ เช่น
ในเรื่องอายุความการลงโทษนี้ หยุด แสงอุทัย (2544, หน้า 12) ได้กล่าวไว้ว่า เนื่องจากประมวลกฎหมายอาญามีความประสงค์ที่จะลงโทษผู้ที่ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดในระยะเวลาอันสมควร ฉะนั้นถ้าไม่ได้ตัวผู้ต้องคำพิพากษามาลงโทษภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด ก็ถือว่าเป็นการขาดอายุความล่วงเลยการลงโทษ
- งานเขียนที่เป็นภาษาไทย ถ้าต้องการอ้างอิงผู้แต่งชาวต่างชาติไว้เป็นส่วนหนึ่งของเนื้อความ ให้ใช้นามสกุลของผู้แต่งโดยใช้ภาษาของผู้แต่ง และเขียนปีที่พิมพ์ไว้ในวงเล็บเช่น
Luthans (1989) ชี้ให้เห็นถึงปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความพึงพอใจในการทำงานว่าประกอบด้วย ค่าจ้าง ลักษณะของงาน ความก้าวหน้า การบังคับบัญชา เพื่อนร่วมงาน และสภาพการทำงาน
- การระบุเลขหน้า (ถ้ามี) งานเขียนภาษาไทย ใช้คำว่า “หน้า” ส่วนงานเขียนภาษาอังกฤษ ใช้ตัวย่อ p. (กรณีอ้างอิงหน้าเดียว) และ pp. (กรณีอ้างอิงหลายหน้า) เช่น
ลักษณะของงานเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความพึงพอใจในการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้างานนั้นมีความหมาย ส่วนค่าจ้าง ความสะดวกสบายในการทำงาน และความมั่นคงของงานเป็นปัจจัยสำคัญรองลงมา (Lawler & Hall, 1970, pp. 15-20)
Bacharach and Bamberger (1990, p. 12) ทำการวิจัย . . .
การอ้างโดยระบุหมายเลขของแหล่งที่มาของข้อมูลไว้ในเนื้อหาที่ต้องการอ้าง โดยใส่หมายเลขไว้ในวงเล็บ ( ) หรือใช้ตัวยก เริ่มจากหมายเลข 1, 2, 3 . . . ตามลำดับจนจบเล่ม เช่น
ประวัติศาสตร์การสถาปนาแนวความคิดสิทธิมนุษยชนบนโลกนี้ คือ การประกาศว่าสิทธิมนุษยชน คือ พื้นฐานอันชอบธรรมขั้นสูงสุดสำหรับชุมชนมนุษย์ หรือคือ หลักการสากลที่มนุษย์พึงเคารพ เพราะสิทธิในความเป็นมนุษย์ย่อมเป็นสิทธิทางธรรมขั้นสูงสุดในการดำรงอยู่ สิทธิเป็นจุดเชื่อมระหว่างบุคคลกับส่วนรวม เพื่อการพัฒนาชีวิตทั้งส่วนบุคคลและส่วนรวม (1) หรือ 1
- การอ้างอิงแบบตัวเลขหลายรายการในข้อความเป็นลำดับต่อเนื่องกัน ให้ใช้เครื่องหมายยติภังค์ (-) คั่นระหว่างตัวเลข เช่น
ปัจจุบันก็ยังคงมีการพึ่งพาซึ่งกันและกัน อีกทั้งจะต้องประสานร่วมมือกัน จึงจะทำให้ปรัชญาของการศึกษาบรรลุเป้าหมาย (3-5) หรือ 3-5
- การอ้างอิงแบบตัวเลขหลายรายการในข้อความเป็นลำดับที่ไม่ต่อเนื่องกัน ให้ใช้เครื่องหมายจุลภาค (,) คั่นระหว่างตัวเลข เช่น
ปัจจุบันก็ยังคงมีการพึ่งพาซึ่งกันและกัน อีกทั้งจะต้องประสานร่วมมือกัน จึงจะทำให้ปรัชญาของการศึกษาบรรลุเป้าหมาย (3,12) หรือ 3,12
- หากมีการอ้างซ้ำก็ให้อ้างหมายเลขเดิมซ้ำได้อีก
การอ้างอิงโดยระบุชื่อผู้แต่ง และปีที่พิมพ์เอกสาร ไว้ในเนื้อหาที่ต้องการอ้าง เพื่อบอกแหล่งที่มาของข้อความ ในกรณีที่อ้างอิงเนื้อหาโดยตรงหรือแนวคิดบางส่วน หรือคัดลอกข้อความบางส่วนมาจากต้นฉบับควรระบุเลขหน้าไว้ด้วย โดยมีวิธีการอ้างอิงในเนื้อหา ดังนี้
- ระบุชื่อผู้แต่ง นามสกุล และปีพิมพ์ไว้ในวงเล็บท้ายข้อความ เช่น
ประวัติศาสตร์การสถาปนาแนวความคิดสิทธิมนุษยชนบนโลกนี้ คือ การประกาศว่าสิทธิมนุษยชน คือ พื้นฐานอันชอบธรรมขั้นสูงสุดสำหรับชุมชนมนุษย์ หรือคือ หลักการสากลที่มนุษย์พึงเคารพ เพราะสิทธิในความเป็นมนุษย์ย่อมเป็นสิทธิทางธรรมขั้นสูงสุดในการดำรงอยู่ สิทธิเป็นจุดเชื่อมระหว่างบุคคลกับส่วนรวม เพื่อการพัฒนาชีวิตทั้งส่วนบุคคลและส่วนรวม (เฉลิมเกียรติ ผิวนวล 2530)
- การระบุเลขหน้า (ถ้ามี) เช่น
ลักษณะของงานเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความพึงพอใจในการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้างานนั้นมีความหมาย ส่วนค่าจ้าง ความสะดวกสบายในการทำงาน และความมั่นคงของงานเป็นปัจจัยสำคัญรองลงมา (Lawler and Hall 1970, 15-20)
การอ้างอิงแบบ Turabian มี 2 รูปแบบ ได้แก่
- การอ้างอิงแบบแทรกในเนื้อหา (Parenthetical Citations-Reference List Style) เป็นการอ้างอิงถึงแหล่งที่มาของข้อความ โดยใช้รูปแบบการอ้างอิงแบบนามปี โดยระบุชื่อผู้แต่ง และปีที่พิมพ์เอกสาร ไว้ในเนื้อหาที่ต้องการอ้าง เช่น
ประวัติศาสตร์การสถาปนาแนวความคิดสิทธิมนุษยชนบนโลกนี้ คือ การประกาศว่าสิทธิมนุษยชน คือ พื้นฐานอันชอบธรรมขั้นสูงสุดสำหรับชุมชนมนุษย์ หรือคือ หลักการสากลที่มนุษย์พึงเคารพ เพราะสิทธิในความเป็นมนุษย์ย่อมเป็นสิทธิทางธรรมขั้นสูงสุดในการดำรงอยู่ สิทธิเป็นจุดเชื่อมระหว่างบุคคลกับส่วนรวม เพื่อการพัฒนาชีวิตทั้งส่วนบุคคลและส่วนรวม (เฉลิมเกียรติ ผิวนวล 2530)
- การอ้างอิงแบบเชิงอรรถ (Bibliography Style) เป็นการอ้างอิงโดยเขียนข้อความไว้ท้ายหน้ากระดาษ โดยการใส่หมายเลขไว้ 2 ที่ เป็นคู่ เรียงตามลำดับ โดยที่แรกใส่ไว้ท้ายข้อความ และอีกที่หนึ่งใส่หมายเลขเดียวกันไว้ในรายการเชิงอรรถ (Footnotes) ที่อยู่ด้านล่างของแต่ละหน้าที่อ้างอิง โดยมีวิธีการอ้างอิงในเนื้อหา ดังนี้
รัฐจึงเป็นผู้ดูแลสาธารณะประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ในรัฐ โดยหลักประโยชน์สาธารณะจำต้องมาก่อนประโยชน์ของปัจเจกชน จึงอาจเกิดความไม่ยินยอมในการสละประโยชน์ส่วนตนเพื่อส่วนรวมได้ รัฐจึงต้องเข้ามากำกับดูแล เพื่อประโยชน์ของคนหมู่มากในสังคม โดยให้องค์กรรัฐหรือเจ้าหน้าที่รัฐใช้อำนาจปัจเจกชนเพื่อประโยชน์สาธารณะได้1
1 ชาญชัย แสวงศักดิ์, คำอธิบายกฎหมายปกครอง, พิมพ์ครั้งที่ 26, (กรุงเทพ: วิญญูชน, 2560), 71.
รายการอ้างอิง
รายการอ้างอิง (Reference) คือ รายการที่แสดงข้อมูลบรรณานุกรมของเอกสารที่นำมาอ้างอิงในเนื้อหาทั้งหมด (ยกเว้นแหล่งข้อมูลที่ไม่สามารถเผยแพร่ได้ เช่น จดหมายส่วนตัว คำสนทนา) ซึ่งจะต้องปรากฏให้ตรงกันกับการอ้างอิงในเนื้อหา รายการอ้างอิงแต่ละรายการจะต้องมีข้อมูลทางบรรณานุกรมที่ถูกต้อง และครบถ้วนตามรูปแบบที่กำหนด
- การเรียงลำดับรายการอ้างอิง เรียงรายการอ้างอิงภาษาไทย โดยลำดับ ก-ฮ ก่อนแล้วจึงเรียงรายการอ้างอิงภาษาอังกฤษ โดยลำดับ A-Z โดยไม่แยกประเภทเอกสาร
- หลักเกณฑ์การลงรายการบรรณานุกรมในรายการอ้างอิง (ดูหลักการเขียนได้จากหน้าเว็บไซต์สำนักงานบัณฑิตศึกษา)
ตัวอย่าง
เฉลิมเกียรติ ผิวนวล. (2530). ปรัชญาสิทธิมนุษยชนและพันธกรณีในสังคมไทย. กลุ่มประสานงานศาสนาเพื่อสังคม.
หยุด แสงอุทัย. (2544). กฎหมายอาญา ภาค 2-3 (พิมพ์ครั้งที่ 10). สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
Bacharach, S. B., & Bamberger, P. (1990). Exit and voice: Turnover and militancy intentions in elementary and secondary schools. Educational Administration Quarterly, 26(4), 316-344.
Lawler, E. E., & Hall, D. T. (1970). Relationship of job characteristics to job involvement, satisfaction, and intrinsic motivation. Journal of Applied psychology, 54(4), 305.
Luthans, F. (1989). Organizational behavior (5th ed.). McGraw-Hill Inc., New York.
- การเรียงลำดับรายการอ้างอิง เรียงตามลำดับเลข 1 2 3 … โดยไม่แยกประเภทเอกสาร
- หลักเกณฑ์การลงรายการบรรณานุกรมในรายการอ้างอิง (ดูหลักการเขียนได้จากหน้าเว็บไซต์ Vancouver เข้าถึงได้จากหน้าเว็บไซต์สำนักงานบัณฑิตศึกษา)
ตัวอย่าง
1 เฉลิมเกียรติ ผิวนวล. ปรัชญาสิทธิมนุษยชนและพันธกรณีในสังคมไทย. กรุงเทพฯ:
กลุ่มประสานงานศาสนาเพื่อสังคม; 2530.
2 หยุด แสงอุทัย. กฎหมายอาญา ภาค 2-3. พิมพ์ครั้งที่ 10. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์; 2544.
3 Luthans F, Organizational Behavior. 5th ed. New York: McGraw-Hill Inc.; 1989.
4 Lawler EE, Hall DT, Relationship of job characteristics to job involvement, satisfaction, and intrinsic motivation. Journal of Applied psychology. 1970; 54(4):305.
5 Bacharach SB, Bamberger P, Exit and voice: Turnover and militancy intentions in elementary and secondary schools. Educational Administration Quarterly. 1990; 26(4):316-344.
- การเรียงลำดับรายการอ้างอิง เรียงรายการอ้างอิงภาษาไทย โดยลำดับ ก-ฮ ก่อนแล้วจึงเรียงรายการอ้างอิงภาษาอังกฤษ โดยลำดับ A-Z โดยไม่แยกประเภทเอกสาร
- หลักเกณฑ์การลงรายการบรรณานุกรมในรายการอ้างอิง (ดูหลักการเขียนได้จากหน้าเว็บไซต์ Chicago เข้าถึงได้จากหน้าเว็บไซต์สำนักงานบัณฑิตศึกษา)
ตัวอย่าง
เฉลิมเกียรติ ผิวนวล. ปรัชญาสิทธิมนุษยชนและพันธกรณีในสังคมไทย. กลุ่มประสานงานศาสนาเพื่อสังคม, 2530.
หยุด แสงอุทัย. กฎหมายอาญา ภาค 2-3. พิมพ์ครั้งที่ 10. สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2544.
Luthans, Fred. “Organizational Behavior.” 5th ed. McGraw-Hill Inc., 1989.
Lawler, Edward E., and Hall, Douglas T. “Relationship of job characteristics to job involvement, satisfaction, and intrinsic motivation.” Journal of Applied psychology 54, no. 4 (1970): 305.
Bacharach, Samuel B., and Bamberger, Peter. “Exit and voice: Turnover and militancy intentions in elementary and secondary schools.” Educational Administration Quarterly 26, no. 4 (1990): 316-344.
- การเรียงลำดับรายการอ้างอิง เรียงรายการอ้างอิงภาษาไทย โดยลำดับ ก-ฮ ก่อนแล้วจึงเรียงรายการอ้างอิงภาษาอังกฤษ โดยลำดับ A-Z โดยไม่แยกประเภทเอกสาร
- หลักเกณฑ์การลงรายการบรรณานุกรมในรายการอ้างอิง (ดูหลักการเขียนได้จากหน้าเว็บไซต์ Turabian เข้าถึงได้จากหน้าเว็บไซต์สำนักงานบัณฑิตศึกษา)
ตัวอย่าง
ชาญชัย แสวงศักดิ์. คำอธิบายกฎหมายปกครอง. พิมพ์ครั้งที่ 26. วิญญูชน, 2560.
เฉลิมเกียรติ ผิวนวล. ปรัชญาสิทธิมนุษยชนและพันธกรณีในสังคมไทย. กลุ่มประสานงานศาสนาเพื่อสังคม, 2530.
หยุด แสงอุทัย. กฎหมายอาญา ภาค 2-3. พิมพ์ครั้งที่ 10. สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2544.
Luthans, Fred. “Organizational Behavior.” 5th ed. McGraw-Hill Inc., 1989.
Lawler, Edward E., and Hall, Douglas T. “Relationship of job characteristics to job involvement, satisfaction, and intrinsic motivation.” Journal of Applied psychology 54, no. 4 (1970): 305.
Bacharach, Samuel B., and Bamberger, Peter. “Exit and voice: Turnover and militancy intentions in elementary and secondary schools.” Educational Administration Quarterly 26, no. 4 (1990): 316-344.